หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่อง : โฮมสเตย์ แท้จริงมันเป็นอะไร ?



คำว่า โรงแรม รีสอร์ท เป็นคำที่เราได้ยินได้ฟังมานานมากจน ถึงปัจจุบันนี้ แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปจะรู้สึกแพงและหรูหราสมราคาของสถานที่ การบริหารโรงแรมและรีสอร์ทจึงเป็นกระบวนการจัดการที่กว้างขวาง ใช้ทรัพยากรมนุษย์ มีเงินทุนยาว อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ การคมนาคม การสื่อสาร การตลาด และผู้บริหารต้องมืออาชีพ ไม่งั้นเจ๊ง

กลุ่มทุนที่ทำเรื่องดังกล่าวจึงต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยกว่าจะตัดสินใจลง หลักปักฐานธุรกิจ การศึกษาวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ ความน่าจะเป็น และความผิดพลาดที่ต้องระวังเลข “0” ผลกระทบที่เกิดกับท้องถิ่นเป็นมุมกว้าง รายได้จากการท่องเที่ยวในภาพที่เอื้อประโยชน์ถึงภัตตาคาร ร้านค้าของฝาก ของชำร่วย รายเล็กรายใหญ่จะเกิด เรียกว่าเป็นผลพวงจากการท่องเที่ยวระดับจังหวัดหรือระดับประเทศ

รูปแบบการท่องเที่ยวที่เรียกว่า โฮมสเตย์ (Home Stay) ขณะ นี้ได้รับการสนองตอบจากชุมชนอย่างกว้างขวาง ลองอ่านกันดูน่ะว่า โฮมสเตย์ นั้นแท้ที่จริง เขาเหมารวมอะไรไปด้วยบ้าง หรือจะเรียกว่าองค์ประกอบของคำว่า... โฮมสเตย์ มีอะไรบ้างก็ได้

มันเริ่มต้นที่ว่า บ้านที่อยู่อาศัย เจ้าของบ้านอยู่อย่าง ไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปต่อเติมแบบแยกหลัง แต่อาจจะเพิ่มห้องหรือขยายบ้านให้หรูหรา ซึ่งผิดไปจากธรรมชาติดั้งเดิมที่ชีวิตความเป็นอยู่เดิมๆของเขา เพียงแต่อาจจะเพิ่มที่นอนหมอนมุ้ง ห้องน้ำห้องสุขาให้สะอาดขึ้น วีถีชีวิตความเป็นอยู่เคยอยู่เคยทำอย่างไรก็อยู่ย่างนั้น อาจต้องเพิ่มเวลาให้กับแขกที่เข้าพักอีกหน่อย เช่นเล่าเรื่องราวในท้องถิ่นหรือวิถีชีวิตการทำกินให้ฟัง

ค่าใช้จ่ายถ้าเป็นโรงแรมก็แยกค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าเครื่องดื่ม แต่โฮมสเตย์ เหมา จ่ายเป็นรายหัวที่รวมทั้งที่พัก อาหาร เบ็ดเสร็จในคราวเดียว เป็นรายได้เสริมให้กับชาวบ้านที่เปิดบ้านให้พักค้างและเรียนรู้วิถีชีวิตของ ชาวบ้าน รายได้ตกถึงท้องถิ่นโดยตรง เว้นแต่บ้านที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาบ้านให้เป็นโฮมสเตย์ เที่ยวแบบนี้นักท่องเที่ยวประหยัดเงินได้อีกหลายตังส์ รู้สึกสบายๆ ไม่เครียด นุ่งผ้าขาวม้าเดินเล่นก็ได้

นักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมรีสอร์ทซึ่งใช้ทฤษฎี “บริการคืองานของเรา” จะ กินน้ำสักแก้วก็จะมีคนรินน้ำมาเสิร์ฟ อาหารรอทุกเวลาที่ห้องอาหาร มีบริการเบ็ดเสร็จ ที่นอนปูด้วยความเรียบร้อย ผ้าปูตึงเปรียะ  แต่นักท่องเที่ยวที่เข้าพักโฮมสเตย์ซึ่งใช้ทฤษฎี “ญาติมาเยี่ยมเยืยน” จะกินน้ำสักแก้วก็ต้องลุกไปหากินเอง อยากกินน้ำพริกก็ต้องช่วยกันตำช่วยกันโขก และถึงเวลาจะนอนก็แบกที่นอนไปปูนอนกันได้ตามใจชอบ

นิยามของคำว่าโฮมสเตย์ >>> จึงไม่ใช่การสร้างกระ ต็อบแยกออกไปในบริเวณบ้าน หรือบังกะโล หรือห้องแถว หรือห้องตามขอบบ่อปลา หรือกระชังปลา มีอาคารร้านอาหารที่ต้องมานั่งกินรวมกัน แต่ไปพักบ้านไหนก็กินกับบ้านนั้น  พฤติกรรมโฮมสเตย์จึงแตกต่างจากรีสอร์ท  โรงแรม น่ะค่ะ

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ดูรายการทีวี อ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์ เมื่อไปท่องเที่ยวจึงมักยึดติดกับค่านิยมการบริการ และพยายามที่จะให้ได้รับการบริการเหมือนโรงแรม ประกอบกับผู้ประกอบ การโฮมสเตย์จำนวนมากก็ยึดติดกับอุปนิสัยคนไทย แขกมาเยือนบ้านเรือนก็บริการด้วยน้ำใสไมตรีเสมอ ภาระการต้อนรับขับสู้ก็ทำให้เกิดความเหนื่อยยากและลำบากมากขึ้น เอาใจคุณสามีประจำบ้านก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเอาใจผู้มาเยือนอีกก็เหนื่อยแย่ซิค่ะ

หลักการโฮมสเตย์จึงเป็นบ้านหลังเดิมที่เพิ่มเครื่องนอนหมอนมุ้ง ถ้วยโถโอจาน และความสะอาด พฤติกรรมเจ้าบ้านเคยเป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา คนตอนต้นไม้ เก็บผลไม้ขาย ก็ให้เป็นอย่างนั้นต่อไป เพิ่มเติมความสดใสด้วยการชวนเชิญญาติผู้มาเยี่ยมเยือนร่วมทำกิจกรรมที่ทำ อยู่ด้วย เล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่หรือหมู่บ้านให้ญาติผู้มาเยือนได้รับรู้และ จดจำ จะกินต้องช่วยกันหาและทำ จะอยู่ต้องช่วยกันปูและเก็บเครื่องนอน

มีโฮมสเตย์หลายแห่งเล่าให้ฟังว่า... นักท่องเที่ยวที่มา เยือนมักกลับมาหลายรอบจนแทบจะเป็นญาติสนิทกันไปแล้ว เงินทองแทบไม่อยากได้แต่ก็จำใจต้องรับเพราะค่าใช้จ่ายมันมี ส่วนนักท่องเที่ยวก็ยืนยันว่ามาแล้วสบายใจเหมือนได้กลับบ้านมาเยี่ยมญาติ ต่างก็รู้สึกยินดีปรีดาที่ได้พบกันอีกครั้ง นี่คือคุณค่าแห่งมิตรภาพที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง กับการที่ได้มาพัก แบบโฮมสเตย์

เรื่องนี้ก็ขอให้ทุกๆท่านได้ทำความเข้าใจกันด้วยน่ะค่ะว่า โฮมสเตย์  >>>> ไม่ใช่โรงแรม หรือ รีสอร์ท



                                                               


                                                                                                           เรียบเรียงโดย Joice Pitchaya

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น